
อาการ “ปวดหลังช่วงเอว” เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในคนวัยทำงาน หลายคนอาจคิดว่าเป็นแค่ความเมื่อยล้าชั่วคราวจากการนั่งทำงานหรือยกของหนัก แต่ในความเป็นจริง อาการนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหากล้ามเนื้อ หรือโรคเกี่ยวกับกระดูกสันหลังที่ไม่ควรมองข้าม
สาเหตุที่ทำให้ปวดหลังช่วงเอว
1. ท่านั่งหรือท่ายืนที่ไม่ถูกต้อง
การนั่งหลังค่อมหรือเอนตัวมากเกินไป ทำให้กล้ามเนื้อหลังส่วนล่างต้องทำงานหนัก ส่งผลให้เกิดอาการตึงและอักเสบได้ง่าย
2. ยกของหนักหรือออกแรงผิดท่า
เมื่อยกของโดยใช้หลังแทนขา กล้ามเนื้อและหมอนรองกระดูกจะรับแรงกดมากเกินไป อาจเกิดภาวะกล้ามเนื้อฉีกขาด หรือหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท
3. นั่งทำงานนานโดยไม่ขยับตัว
การนั่งนาน ๆ ทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี กล้ามเนื้อหลังล้าและหดเกร็งจนเกิดอาการปวด
4. ภาวะเครียดและพักผ่อนไม่เพียงพอ
ความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่กระตุ้นให้กล้ามเนื้อหดตัวโดยไม่รู้ตัว เกิดการปวดตึงหลังและเอว
สัญญาณที่ควรสังเกต
• ปวดตึงบริเวณเอวต่อเนื่องเกิน 1 สัปดาห์
• ปวดร้าวลงขาหรือรู้สึกชา
• ปวดมากขึ้นเมื่อยกของหรือเปลี่ยนท่า
• รู้สึกเอวติด ขยับลำบาก โดยเฉพาะตอนลุกจากที่นั่ง
หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาอย่างถูกวิธี
ยาคลายกล้ามเนื้อ ตัวช่วยเมื่ออาการปวดรบกวนชีวิต
ในกรณีที่อาการปวดหลังช่วงเอวเกิดจากกล้ามเนื้อเกร็งหรืออักเสบ แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาในกลุ่ม คลายกล้ามเนื้อ (Muscle Relaxant) เพื่อช่วยลดอาการตึงและบรรเทาความเจ็บปวด
หนึ่งในยาที่ใช้กันแพร่หลายคือ ยา Norgesic ซึ่งมีตัวยาสำคัญคือ
• Orphenadrine Citrate: ช่วยคลายการเกร็งของกล้ามเนื้อ
• Paracetamol: ลดอาการปวดและลดไข้
Norgesic เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดจากกล้ามเนื้อหดเกร็ง เช่น
• ปวดหลังช่วงเอว
• ปวดบ่า ไหล่ หรือสะบัก
• ปวดกล้ามเนื้อจากการนั่งทำงานหรือออกแรงมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม ยานี้ไม่ใช่การรักษาต้นเหตุโดยตรง แต่ช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว ทำให้สามารถพักฟื้นและทำกายภาพบำบัดได้ง่ายขึ้น ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรเสมอ
วิธีดูแลและป้องกันอาการปวดหลังช่วงเอว
1. นั่งและยืนในท่าที่ถูกต้อง หลังตรง ไหล่ผ่อนคลาย
2. ยืดเหยียดกล้ามเนื้อหลังทุก 1 ชั่วโมง หากต้องนั่งทำงานนาน
3. หลีกเลี่ยงการยกของหนักเกินกำลัง และยกของโดยใช้แรงจากขาแทนหลัง
4. นอนบนที่นอนที่มีความแข็งพอดี เพื่อพยุงแนวกระดูกสันหลังให้ตรง 5. ออกกำลังกายเสริมกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core Muscle) เช่น โยคะ หรือพิลาทิส
สรุป
แม้อาการปวดโดยทั่วไปจะไม่อันตราย แต่ก็ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะหากมีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดร้าวลงขา ชา หรืออ่อนแรง หรือหากปวดเรื้อรังไม่หายภายใน 1–2 สัปดาห์ ควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอย่างละเอียด
การดูแลร่างกายตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วยท่าทางที่ถูกต้อง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยลดความเสี่ยงของ อาการปวดเอว ได้มาก อีกทั้งในกรณีที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อร่วมด้วย การใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ เช่น ยา Norgesic ซึ่งเป็นยาคลายกล้ามเนื้อที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย อาจช่วยลดการตึงตัวของกล้ามเนื้อบริเวณหลังและบรรเทาอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม การใช้ยา Norgesic ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือใช้ยาอื่นร่วมอยู่ เพื่อความปลอดภัยและให้การรักษาได้ผลดีที่สุด หรือปรึกษากับเภสัชกรมืออาชีพผ่าน LINE Mini App ได้ทันที เพื่อให้คุณมั่นใจวิธีการใช้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
