ใครก็ตามที่เคยมีอาการปวดกล้ามเนื้อ หรือกล้ามเนื้อตึงจนทำอะไรไม่ถนัดคงรู้ดีว่ามันลำบากแค่ไหน บางคนปวดหลังจากนั่งทำงานนาน บางคนปวดต้นคอจากท่าทางไม่ถูกต้อง หรือบางคนอาจปวดจากการออกกำลังกายหนักเกินไป อาการเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันจนต้องพึ่งพายาคลายกล้ามเนื้อแบบกินมาช่วย แต่คำถามที่หลายคนสงสัยคือ ควรเลือกใช้ชนิดไหน? ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย? และมีข้อควรระวังอะไรบ้าง? บทความนี้ MedCare จะพาคุณไปทำความเข้าใจอย่างครบถ้วนเกี่ยวกับยาชนิดนี้

ยากินคลายกล้ามเนื้อแบบกิน คืออะไร?
ยากินคลายกล้ามเนื้อ หรือที่เรียกในทางการแพทย์ว่า Muscle Relaxants เป็นยาที่ออกแบบมาเพื่อช่วยลดอาการตึงหรือเกร็งของกล้ามเนื้อ ซึ่งมักเกิดจากการบาดเจ็บ การใช้งานกล้ามเนื้อมากเกินไป หรือภาวะที่กล้ามเนื้อทำงานผิดปกติ ยาเหล่านี้ทำงานโดยการส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลางหรือกล้ามเนื้อโดยตรง ช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวและลดความเจ็บปวดที่เกี่ยวข้อง
กลไกการออกฤทธิ์
ยาคลายกล้ามเนื้อมีกลไกการทำงานหลัก ๆ อยู่ 2 แบบ แบบแรกคือการออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง (Central Acting) โดยยาจะไปยับยั้งการส่งสัญญาณประสาทที่ทำให้กล้ามเนื้อหดตัว ส่งผลให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายลง แบบที่สองคือการออกฤทธิ์โดยตรงที่กล้ามเนื้อ (Peripheral Acting) โดยยาจะไปขัดขวางกระบวนการหดตัวของกล้ามเนื้อโดยตรง ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ใช้รักษาอาการแบบไหน?
ยาชนิดนี้มักถูกใช้รักษาอาการปวดกล้ามเนื้อที่เกิดจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดหลังเฉียบพลัน ปวดต้นคอจากท่าทางไม่ถูกต้อง อาการเกร็งของกล้ามเนื้อหลังจากการบาดเจ็บ หรือภาวะกล้ามเนื้อตึงเรื้อรังจากโรคทางระบบประสาท นอกจากนี้ยังใช้ร่วมกับยาแก้ปวดชนิดอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการและช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้สะดวกขึ้น
เปรียบเทียบชนิดยาที่แพทย์และเภสัชกรนิยมใช้
เมื่อพูดถึงยาคล้ายกล้ามเนื้อยี่ห้อไหนดีกว่ากัน เราต้องเข้าใจก่อนว่าแต่ละชนิดมีลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกัน โดยจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ตามลักษณะอาการที่ใช้รักษา
ยากินคลายกล้ามเนื้อ ชนิดเฉียบพลัน
- Eperisone เป็นยาที่มีกลไกการทำงานแบบ Dual Action คือทั้งออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลางและกล้ามเนื้อโดยตรง ข้อดีคือมีผลข้างเคียงด้านง่วงซึมน้อยกว่ายาในกลุ่มเดียวกัน จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการคลายกล้ามเนื้อแต่ยังต้องทำงานหรือขับรถ
- Tolperisone เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่มีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อดี มีผลข้างเคียงต่ำ โดยเฉพาะเรื่องง่วงซึม ทำให้เป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาอาการในขณะที่ยังต้องใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ
ยากินคลายกล้ามเนื้อ ชนิดเรื้อรัง
กลุ่มยานี้ใช้สำหรับอาการที่มีความรุนแรงมากขึ้น หรือเป็นอาการเรื้อรังที่เกิดจากโรคทางระบบประสาท เช่น โรค Multiple Sclerosis หรือการบาดเจ็บของไขสันหลัง
- Tizanidine เป็นยาที่มีฤทธิ์แรงในการคลายกล้ามเนื้อ ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการส่งสัญญาณประสาทในไขสันหลัง เหมาะสำหรับภาวะกล้ามเนื้อตึงเกร็งจากโรคทางระบบประสาท แต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังเพราะอาจทำให้ง่วงซึมและความดันโลหิตต่ำได้
- Baclofen เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับการรักษาภาวะกล้ามเนื้อตึงเกร็งเรื้อรัง โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีปัญหาทางระบบประสาทส่วนกลาง ยานี้ทำงานโดยการจับกับตัวรับ GABA-B ในไขสันหลัง ช่วยลดการส่งสัญญาณประสาทที่ทำให้กล้ามเนื้อหดตัว อย่างไรก็ตามต้องเริ่มใช้ด้วยขนาดต่ำและค่อยๆ เพิ่มขนาดเพื่อลดผลข้างเคียง

ขนาดและวิธีการกินที่เหมาะสม
การใช้ยาคลายกล้ามเนื้อให้ได้ผลดีและปลอดภัยที่สุด ไม่ใช่แค่เลือกยาชนิดที่เหมาะสมเท่านั้น แต่ต้องรู้วิธีการใช้ที่ถูกต้องด้วย เพราะยาแต่ละชนิดมีขนาดและวิธีการใช้ที่แตกต่างกัน
การเริ่มต้นและปรับขนาด
หลักการสำคัญในการเริ่มใช้ยาคลายกล้ามเนื้อคือควรเริ่มด้วยขนาดต่ำสุดที่แพทย์แนะนำ จากนั้นค่อย ๆ สังเกตอาการและผลข้างเคียง ถ้าจำเป็นต้องเพิ่มขนาดก็ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน อย่าปรับขนาดเองโดยพลการ เพราะการเพิ่มขนาดอย่างรวดเร็วอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง โดยเฉพาะอาการง่วงซึมและเวียนศีรษะ การเริ่มต้นด้วยขนาดต่ำช่วยให้ร่างกายปรับตัวกับยาได้ดีขึ้น
เวลากินยาคลายกล้ามเนื้อ
สำหรับคำถามที่ว่ายาคลายกล้ามเนื้อกินตอนไหนนั้น โดยทั่วไปแพทย์มักแนะนำให้กินยาก่อนนอน เพราะยาส่วนใหญ่มีผลข้างเคียงทำให้ง่วงซึม การกินก่อนนอนจึงช่วยลดผลกระทบต่อกิจวัตรประจำวัน นอกจากนี้การพักผ่อนในขณะที่ยาออกฤทธิ์ยังช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวได้ดีขึ้น สำหรับบางชนิดที่อาจระคายเคืองกระเพาะอาหาร แนะนำให้กินพร้อมมื้ออาหารหรือหลังอาหาร
ระยะเวลาการใช้ยา
สิ่งที่หลายคนมักเข้าใจผิดคือคิดว่าสามารถกินยาคลายกล้ามเนื้อได้ต่อเนื่องยาวนาน แต่ความจริงแล้วยาชนิดนี้ไม่ควรใช้เกิน 2-3 สัปดาห์ต่อเนื่อง โดยเฉพาะยาสำหรับอาการเฉียบพลัน เพราะการใช้ยานานเกินไปอาจทำให้ร่างกายเกิดการพึ่งพาและมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงเพิ่มขึ้น หากอาการยังไม่ดีขึ้นภายในระยะเวลาดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
ผลข้างเคียงจากยาคลายกล้ามเนื้อแบบกิน
แม้ว่ายาคลายกล้ามเนื้อจะช่วยบรรเทาอาการได้ดี แต่ก็มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงยาคลายกล้ามเนื้อที่ผู้ใช้ควรทราบ โดยผลข้างเคียงส่วนใหญ่มักไม่รุนแรงและจะหายไปเองเมื่อร่างกายปรับตัวกับยาได้แล้ว
อาการง่วงซึม
นี่เป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุด เนื่องจากยาออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ผู้ใช้รู้สึกง่วงนอนและอ่อนเพลีย โดยเฉพาะในช่วง 2-3 วันแรกของการใช้ยา ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะหรือทำงานที่ต้องใช้ความตื่นตัวสูงหลังจากกินยา หากอาการง่วงซึมมากเกินไปควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับขนาดยาหรือเปลี่ยนชนิดยา
อาการเวียนศีรษะ
อาการเวียนหัวหรือเวียนศีรษะเป็นหนึ่งในผลข้างเคียงปกติที่อาจพบได้จากการใช้ยาคลายกล้ามเนื้อบางชนิด แม้อาการนี้จะไม่ได้ส่งผลอันตรายร้ายแรง แต่เพื่อความปลอดภัยและป้องกันการเสียการทรงตัว แนะนำให้หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนท่าทางอย่างกะทันหัน เช่น ควรค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนช้า ๆ จากท่านั่งหรือนอน หากรู้สึกเวียนศีรษะให้นั่งหรือนอนพักจนกว่าอาการจะดีขึ้น และควรดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อช่วยให้ร่างกายปรับตัวได้ดีขึ้น
อาการคลื่นไส้/ปวดท้องเล็กน้อย
ยาบางชนิดอาจระคายเคืองกระเพาะอาหาร ทำให้รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน หรือปวดท้องเล็กน้อย การกินยาพร้อมอาหารหรือหลังอาหารจะช่วยลดอาการเหล่านี้ได้ หากอาการยังคงมีอยู่หรือรุนแรงขึ้น ควรแจ้งแพทย์เพื่อปรับวิธีการใช้ยาหรือพิจารณาเปลี่ยนชนิดยา
สัญญาณอันตรายหลังกินยาคลายกล้ามเนื้อ
แม้ว่าผลข้างเคียงส่วนใหญ่จะไม่รุนแรง แต่มีบางอาการที่เป็นสัญญาณเตือนว่าควรหยุดยาและรีบพบแพทย์ทันที การสังเกตอาการของตัวเองจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
อาการแพ้รุนแรง
อาการแพ้ยาที่รุนแรงอาจเกิดขึ้นได้แม้จะไม่บ่อยนัก อาการที่ต้องระวังได้แก่
- ผื่นและอาการคัน – ผื่นขึ้นทั่วตัว ลมพิษ หรือคันมาก
- ปัญหาการหายใจ – หายใจลำบาก หายใจมีเสียงหวีด หรือรู้สึกแน่นหน้าอก
- อาการบวม – ใบหน้าบวม ริมฝีปากบวม ลิ้นบวม หรือคอบวมจนกลืนลำบาก
หากพบอาการเหล่านี้ต้องหยุดยาทันทีและรีบไปพบแพทย์หรือไปโรงพยาบาลโดยเร็ว เพราะอาจเป็นอาการ anaphylaxis ที่อันตรายถึงชีวิตได้
ปัญหาเกี่ยวกับตับ
ยาบางชนิดอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับ แม้จะไม่พบบ่อยนัก แต่ควรระวังอาการเช่น
- อาการดีซ่าน – ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือเล็บเหลือง
- การเปลี่ยนแปลงของของเสีย – ปัสสาวะมีสีเข้มผิดปกติคล้ายน้ำชา หรืออุจจาระสีซีด
- อาการทางเดินอาหาร – เบื่อกินอาหาร คลื่นไส้อาเจียนอย่างต่อเนื่อง หรือปวดท้องด้านขวาบน
หากมีอาการเหล่านี้ควรหยุดยาและปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจเลือดดูการทำงานของตับ
ความผิดปกติทางจิต
ยาคลายกล้ามเนื้อบางชนิดอาจส่งผลต่อจิตใจและอารมณ์ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีประวัติปัญหาทางจิต อาการที่ควรระวังได้แก่
- อาการหลอน – เห็นภาพหลอน หรือได้ยินเสียงแปลกๆ ที่ไม่มีจริง
- ความสับสน – สับสนไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน หรือความจำเสื่อมลงอย่างกะทันหัน
- การเปลี่ยนแปลงอารมณ์ – มีอาการตื่นเต้นผิดปกติ กระวนกระวาย หรือซึมเศร้าอย่างรุนแรง
อาการเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ต้องหยุดยาและปรึกษาแพทย์โดยเร็ว
คำแนะนำจากเภสัชกร
การใช้ยาคลายกล้ามเนื้อให้ได้ผลดีและปลอดภัยที่สุดนั้น การปรึกษาเภสัชกรออนไลน์ 24 ชม. เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สะดวกและรวดเร็ว โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการดูแลสุขภาพ นอกจากนี้ยังมีข้อควรระวังสำคัญที่ควรทราบ
ข้อควรระวังและข้อห้ามใช้ยา
ภญ.ศกุนตลา แก้วจินดา เภสัชกรผู้เชี่ยวชาญจาก MedCare แนะนำว่า สิ่งสำคัญที่ควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาคือ ประวัติแพ้ยา โรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคตับ โรคไต โรคหัวใจ หรือโรคทางจิตประสาท รวมถึงยาอื่น ๆ ที่กำลังใช้อยู่ เพราะยาคลายกล้ามเนื้ออาจมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นได้ นอกจากนี้ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ขณะใช้ยาเด็ดขาด เพราะจะเพิ่มฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ง่วงซึมและเวียนศีรษะมากขึ้น อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
เรื่องที่หลายคนสงสัยคือ ยาคลายกล้ามเนื้อกินกับพาราได้ไหม คำตอบคือสามารถกินร่วมกันได้ และมักแนะนำให้ใช้ร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ปวดและคลายกล้ามเนื้อ อย่างไรก็ตามควรปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์เพื่อความปลอดภัย
ใครไม่ควรกินยานี้?
มีบางกลุ่มคนที่ไม่ควรใช้ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือต้องใช้ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ ได้แก่
- สตรีมีครรภ์และให้นมบุตร เพราะยาอาจส่งผลกระทบต่อทารก
- ผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อการหกล้มเนื่องจากอาการเวียนศีรษะและความไม่มั่นคง
- ผู้ที่มีโรคตับหรือไตรุนแรง เพราะร่างกายไม่สามารถกำจัดยาออกได้ดี
- ผู้ป่วยโรคต้อหิน (ชนิดมุมปิด) ยาบางชนิดอาจเพิ่มความดันในลูกตาจนเป็นอันตราย
คำถามพบบ่อย (FAQs) เกี่ยวกับ ยากินคลายกล้ามเนื้อแบบกิน
ยาคลายกล้ามเนื้อมีชื่ออะไรบ้าง?
ยาคลายกล้ามเนื้อมีหลายชื่อทั้งชื่อสามัญและชื่อการค้า ชื่อสามัญที่พบบ่อยได้แก่ Mephenesin, Orphenadrine, Eperisone, Tolperisone, Tizanidine และ Baclofen ส่วนชื่อการค้าที่คุ้นหูอาจเป็น Norgesic, Myonal, Mydocalm, Sirdalud หรือ Lioresal แต่ละยามีฤทธิ์และความเหมาะสมในการใช้ที่แตกต่างกัน ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้เสมอ
ยาคลายกล้ามเนื้อ ยี่ห้อไหนดีสุด?
ต้องบอกว่าไม่มียาชนิดใดที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน เพราะความเหมาะสมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ลักษณะของอาการ ความรุนแรง โรคประจำตัว และการตอบสนองของแต่ละบุคคล ยาที่ดีสำหรับคนหนึ่งอาจไม่เหมาะกับอีกคนหนึ่ง ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อเลือกยาที่เหมาะสมกับตัวคุณมากที่สุด
ยาคลายเส้น กับ คลายกล้ามเนื้อ อันเดียวกันไหม?
หลายคนมักสับสนระหว่างยาคลายเส้นกับยาคลายกล้ามเนื้อ จริง ๆ แล้วทั้งสองไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ยาคลายเส้นมักหมายถึงยาที่ช่วยลดอาการตึงเกร็งของเส้นเอ็น ซึ่งอาจเป็นยาในกลุ่มเดียวกันหรือใกล้เคียงกับยาคลายกล้ามเนื้อ แต่อาจมีกลไกการทำงานที่เน้นไปที่เส้นเอ็นมากกว่ากล้ามเนื้อ อย่างไรก็ตาม ในการใช้งานจริงทั้งสองชนิดมักถูกใช้ร่วมกันหรือสลับกันไปตามความเหมาะสมของอาการ
Norgesic กับ Arcoxia ต่างกันอย่างไร?
Norgesic และ Arcoxia เป็นยาคนละกลุ่มกัน Norgesic เป็นยาผสมที่ประกอบด้วย Orphenadrine (ยาคลายกล้ามเนื้อ) และ Paracetamol (ยาแก้ปวดลดไข้) ใช้สำหรับอาการปวดกล้ามเนื้อและกล้ามเนื้อตึงเกร็ง ส่วน Arcoxia มีสารสำคัญคือ Etoricoxib ซึ่งเป็นยาแก้อักเสบชนิด COX-2 inhibitor ใช้สำหรับอาการปวดจากการอักเสบ เช่น ข้ออักเสบ หรือปวดกล้ามเนื้อจากการอักเสบ Norgesic มักใช้สำหรับอาการเฉียบพลันและมีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อโดยตรง ในขณะที่ Arcoxia เน้นการลดการอักเสบและแก้ปวดจากการอักเสบ ทั้งสองยาอาจใช้ร่วมกันได้ในบางกรณีหากแพทย์เห็นว่าเหมาะสม
สรุป
ยาคลายกล้ามเนื้อแบบกิน เป็นยาที่มีประโยชน์อย่างมากในการบรรเทาอาการปวดและตึงเกร็งของกล้ามเนื้อ แต่การเลือกใช้ให้เหมาะสมและปลอดภัยนั้นต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในตัวยา การใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์และเภสัชกรอย่างเคร่งครัด การสังเกตอาการข้างเคียงและสัญญาณอันตราย รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ จะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากยาและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
